
หากกล่าวถึงผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้ามีหลากหลายประเภท คลีนซิ่ง หรือ cleansing คือหนึ่งผลิตภัณฑ์ประเภทยอดนิยมสำหรับสาว ๆ ที่ชอบแต่งหน้า นอกจาก คลีนเซอร์ หรือ โฟมล้างหน้า ที่ต้องใช้เป็นประจำเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการทำความสะอาด และ ล้างเมคอัพได้อย่างหมดจด จนนำไปสู่ปัญหาผิวต่าง ๆ ตามมาภายหลัง
วันนี้เรามาทำความรู้จักกับ cleansing ทั้ง 7 ประเภทกันอย่างละเอียด ว่าจำเป็นไหมที่ของมันต้องมี รวมถึงเคล็ดลับวิธีการใช้อย่างถูกต้องมาฝากทุกคนกัน เพื่อตอบโจทย์สุขภาพผิวดีตลอดเวลา

คลีนซิ่ง (cleansing) คืออะไร จำเป็นต้องใช้ไหม
ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าประเภทหนึ่ง หรือเรียกว่า รีมูฟเวอร์ ช่วยทำความสะอาดคราบสิ่งสกปรกแม้แต่ฝุ่นอนุภาคเล็กได้อย่างล้ำลึก ไม่ว่าจะเป็น ฝุ่นควันจากท่อไอเสียหรือมลภาวะที่จับตัวบนผิวหน้า ซึ่งการล้างหน้าทั่วไปไม่สามารถทำความสะอาดได้ จึงทำให้การอุดตันและก่อให้เกิดปัญหาสิวในที่สุด ดังนั้น ถือเป็นไอเทมสำคัญที่สาว ๆ ต้องมีไว้ติดบ้าน
ในปัจจุบัน cleansing มีหลากหลายรูปแบบโดยแบ่งตามเนื้อสัมผัสได้ 7 รูปแบบ ได้แก่ เนื้อน้ำ ออยล์ เจล น้ำนม ครีม บาล์ม และแผ่น ซึ่งแต่ละแบบเหมาะกับสภาพผิวแตกต่างกัน เราต้องใช้ให้ถูกต้องเพื่อแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด
แบบน้ำ หรือ cleansing water
ใช้งานง่ายและอ่อนโยนเหมาะกับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผิวแพ้ง่ายและผิวมัน เพียงใช้คู่กับสำลีจนกว่าสำลีจะสะอาด แล้วล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง แต่บางยี่ห้อเช็ดแล้วไม่ต้องล้างออกก็มี ซึ่งส่วนผสมหลักคือน้ำและส่วนผสมต่าง ๆ ในการชำระล้างคราบเครื่องสำอาง (Surfactant) รวมถึงวิตามิน ที่ช่วยบำรุงผิวหน้าและเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ไม่ให้ผิวแห้งตึงหลังจากทำความสะอาด
ข้อดี: ไม่ทิ้งความเหนียวเหนอะหนะบนใบหน้า ทำความสะอาดเครื่องสำอางเฉพาะจุดได้ดี
ข้อเสีย: ไม่สามารถทำความสะอาดเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมกันแดดได้อย่างหมดจด
แบบออยล์ หรือ cleansing oil
เหมาะกับผู้แต่งหน้าหนักเป็นประจำวัน สามารถทำความคราบเครื่องสำอางได้อย่างหมดจด โดยเฉพาะเครื่องสำอางแบบกันน้ำ เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง ซึ่งส่วนผสมหลักคือน้ำและน้ำมันที่ช่วยล้างเครื่องสำอางได้ รวมถึงสารบำรุงผิวที่ขึ้นทางแบรนด์ต่าง ๆ เพิ่มเติมเข้าไป เพื่อช่วยแก้ปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด
ข้อดี: ช่วยทำความสะอาดเครื่องสำอางที่ส่วนผสมกันน้ำได้ ปราศจากคราบสิ่งสกปรกตกค้าง
ข้อเสีย: บางยี่ห้ออาจทิ้งคราบน้ำมันบนใบหน้า จนเหนี่ยวเหนอะหนะ ก่อให้เกิดความรำคาญได้

แบบเจล หรือ cleansing gel
ผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายสามารถใช้ได้โดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวด้วยการผสมผสานประสิทธิภาพแบบออยล์และมิลล์เข้าด้วยกัน ทำให้การทำความสะอาดผิวสูงและบำรุงผิวหน้าให้ดูเปล่งปลั่งได้ในขวดเดียวกัน
ข้อดี: มีความอ่อนโยน เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว
ข้อเสีย: บางยี่ห้ออาจมีส่วนผสมของน้ำมัน ซึ่งผู้ที่มีผิวมันต้องสังเกตส่วนผสมทุกครั้ง
แบบเนื้อน้ำนม หรือ cleansing milk
มีลักษณะเป็นเนื้อขาวน้ำนมข้น ๆ ให้ความอ่อนโยนและความชุ่มชื้นแก่ผิวได้ดี บางยี่ห้อเนื้อละมุนมาก จึงเหมาะกับผิวผู้ที่มีผิวผสมและแพ้ง่าย ทำความสะอาดสิ่งสกปรกได้อย่างล้ำลึก เพียงเทลงบนมือ จากนั้นนวดเบา ๆ ทั่วใบหน้าและล้างออกด้วยน้ำสะอาดเท่านั้น
ข้อดี: มีส่วนผสมที่ช่วยบำรุงผิวไปในตัว ทำให้ผิวอ่อนนุ่มและเรียบเนียน
ข้อเสีย: บางยี่ห้ออาจทำให้รู้สึกเหนี่ยวเหนอะได้
แบบบาล์ม หรือ cleansing balm
มีลักษณะเป็นเนื้อบาล์มเข้มข้น คล้ายเนื้อครีมแต่มีความเหนียวหนืดค่อนข้างสูง แต่ทางกลับกันให้ความชุ่มชื้นสูงกว่า cleansing รูปแบบอื่นเช่นกัน เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว โดยวิธีใช้เหมือนกันคือ ปาดเนื้อครีมลงบนมือแล้วนวดให้ทั่วใบหน้า จากนั้นล้างน้ำสะอาด เพียงเท่านี้ผิวหน้าของเราก็ปราศจากสิ่งสกปรกได้โดยง่าย
ข้อดี: ผิวบอบบางหรือแพ้ง่ายใช้ได้ ไม่ก่อให้เกิดการระเคืองต่อผิว
ข้อเสีย: ด้วยเนื้อสัมผัสที่มีความเข้มสูง ทำให้เหนียวเหนอะหนะกว่ารูปแบบอื่น

แบบครีม หรือ cleansing cream
เป็นตัวเลือกที่สาว ๆ เลือกใช้น้อยที่สุด เนื่องจากเนื้อสัมผัสที่หนา มีความชุ่มชื้นสูงจนเหนียวเหนอะหนะ ทำให้เหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้งถึงแห้งมากเป็นพิเศษ ช่วยฟื้นฟูผิวแห้งกร้านและลดริ้วรอยได้อย่างดี โดยวิธีใช้ง่ายมาก ชโลมครีมให้ทั่วทั้งใบหน้า หลังจากนั้นเช็ดด้วยสำลีหรือล้างด้วยน้ำสะอาด
ข้อดี: ทำความสะอาดผลิตภัณฑ์รองพื้นได้อย่างดี
ข้อเสีย: ผิวมันกว่าเดิม จนเหนียวเหนอะหนะ จึงไม่เป็นที่นิยมใช้
แบบแผ่น หรือ cleansing wipes
ถือว่าเป็นไอเทมยอดนิยมสำหรับสาว ๆ ที่ต้องเดินทางเป็นประจำเช่นกัน เพราะใช้งานง่ายและพกพาสะดวก แต่มีราคาค่อนข้างสูง ต้องใช้ปริมาณแผ่นจำนวนในการทำความสะอาดให้หมดจด ซึ่งมีลักษณะเหมือนทิชชูเปียก แตกต่างกันที่ส่วนผสมในการทำความสะอาดผิวหน้าเท่านั้น ถูกออกแบบมาให้ความชุ่มชื้นกำลังพอดี จึงทำให้เหมาะกับทุกสภาพผิว
ข้อดี: พกพาสะดวก เหมาะกับทุกสภาพผิว
ข้อเสีย: ราคาแพงและทำความสะอาดได้ไม่เท่ากับรูปแบบอื่น