หลายคนยังทาครีมแบบไม่ถูกต้องอยู่ จุดนี้อาจทำให้ครีมบำรุงซึบซาบได้ไม่ดีเท่าที่ควร หรือ อาจทำให้เกิดการอุดตันและสิวได้ ฉะนั้น เราควรรู้ ขั้นตอน วิธี ทา ครีม ที่ ถูก ต้อง และ ควรรู้ว่าควรทำขั้นตอนไหนก่อนหลัง
วันนี้เรามี วิธี ทา ครีม ที่ ถูก ต้อง มาฝากกัน เป็นขั้นตอนแบบละเอียด พร้อมสิ่งที่ต้องรู้ในแต่ละขั้นตอน เพื่อให้ครีมบำรุงผิวและเซรั่มที่เราใช้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ให้ผิวได้รับการบำรุงและฟื้นฟูมากที่สุด

วิธี ทา ครีม ที่ ถูก ต้อง
ขั้นตอนที่ 1 ใช้คลีนซิ่ง
คลีนซิ่ง ใช้กำจัดเครื่องสำอาง หากใครที่แต่งหน้าหรือทาครีมกันแดดต้องใช้คลีนซิ่งเช็ดสารเคลือบ เม็ดสี สารกันแดด หรือซิลิโคน ที่อยู่ในเครื่องสำอางและครีมกันแดดออกก่อน (แต่หากไม่ได้แต่งหน้าหรือทาครีมกันแดดก็สามารถข้ามขั้นตอนนี้ไปได้เลย)
ถ้าไม่ใช้คลีนซิ่งก่อนจะทำให้เป็นสิว เนื่องจาก เมื่อสารเคลือบเจอกับโฟมล้างหน้าหรือคลีนเซอร์ จะรวมตัวและจับกันเป็นก้อน ก้อนเหล่านั้นจะเข้าไปอุดตันในรูขุมขน ทำให้เป็นสิว นอกจากนี้ยังทำให้ครีมบำรุงไม่สามารถซึมเข้าสู่ผิวได้อีกด้วย เพราะโดนก้อนสารเคลือบกั้นอยู่ในรูขุมขน
ขั้นตอนที่ 2 ใช้คลีนเซอร์
คลีนเซอร์ มีหลายประเภท เช่น โฟมล้างหน้า สบู่ล้างหน้า เจลล้างหน้า สครับล้างหน้า เป็นต้น ควรเลือกใช้คลีนเซอร์ให้เหมาะกับสภาพผิว
วิธีการล้างหน้า
- ทำให้ผิวหน้าเปียกด้วยน้ำอุ่นเพื่อเปิดรูขุมขน
- บีบโฟมล้างหน้าหรือฟอกสบู่ ถูกับฝ่ามือให้เป็นฟอง
- นวดอย่างเบามือทั่วใบหน้า
- ล้างโฟมล้างหน้าออกด้วยน้ำอุ่นให้สะอาดหมดจด
- ใช้น้ำเย็นทาบผิวหน้า 3 วินาที ให้ทั่วใบหน้า ทำซ้ำ 2-3 ครั้ง
คำแนะนำ
- ไม่ควรล้างหน้าเกินวันละ 2 ครั้ง เพราะจะทำให้ผิวหน้าเสียความชุ่มชื้น
- ไม่ควรใช้โฟมล้างหน้าที่ทำให้ผิวหน้าแห้งตึง
ขั้นตอนที่ 3 ใช้โทนเนอร์
เมื่อล้างหน้าเสร็จแล้วให้ใช้โทนเนอร์เช็ดหน้าต่อทันที โทนเนอร์ช่วยให้ผิวสะอาดมากขึ้นและปรับผิวให้พร้อมรับสารบำรุง เพื่อให้ครีมบำรุงซึมลงสู่ผิวได้อย่างเต็มที่
โทนเนอร์มี 2 แบบคือ
- โทนเนอร์ทำความสะอาด – มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เล็กน้อยไม่ทำให้แพ้หรือระคายเคืองผิว เป็นโทนเนอร์สำหรับทำความสะอาด ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และลดการอักเสบของผิว
- โทนเนอร์บำรุง – มีส่วนผสมของสารบำรุงผสมอยู่ด้วย เช่น วิตามิน เกลือแร่ และสารให้ความชุ่มชื้น
วิธีใช้
หยดโทนเนอร์ลงบนสำลีแผ่น แล้วเช็ดอย่างเบามือ ให้ทั่วทั้งใบหน้า กรอบหน้า และลำคอ โดยไม่ต้องล้างออกด้วยน้ำเปล่า แต่สามารถลงครีมบำรุงหรือมาสก์ผิวต่อได้เลย

ขั้นตอนที่ 4 ใช้มาสก์
มาสก์ ช่วยในเรื่องของการบำรุงอย่างล้ำลึก ฟื้นฟูสภาพผิว และช่วยลดอาการอักเสบของสิว มาสก์มีทั้งแบบสูตรธรรมชาติทำเอง แบบแผ่น แบบโคลน แบบเจล
วิธีใช้
เตรียมผิวให้สะอาด แล้วพอกหรือวางมาสก์ลงบนผิวหน้า โดยเกลี่ยให้มาสก์อยู่ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า หรือ มาสก์แผ่นบางประเภทไม่จำเป็นต้องล้างออกก็ได้ ซึ่งระบุอยู่ในวิธีใช้บนฉลาก
คำแนะนำ
ไม่ควรทิ้งมาสก์ไว้บนผิวหน้านาน เพราะจะทำให้ผิวหน้าเสียความชุ่มชื้น จากการที่มาสก์ดูดความชุ่มชื้นจากใบหน้ากลับคืน
ขั้นตอนที่ 5 ทาเซรั่ม
เซรั่ม เป็นสารสกัดบำรุงเข้นข้น ให้ลงเป็นสารบำรุงตัวแรก เพราะเนื้อเซรั่มสามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ง่าย มีความเข้มข้นของสารบำรุงสูง ทำให้แก้ไขปัญหาผิวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เซรั่มมีหลากหลายสารบำรุงมาก เช่น
- เซรั่มวิตามินซี ช่วยลดเลือนริ้วรอย ฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้แข็งแรง ลดจุดด่างดำ ลดรอยดำจากสิว และช่วยผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวขาวกระจ่างใสมากขึ้น
- กรดไฮยาลูโรนิก ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิว ทำให้ผิวเด้ง ใส ไม่แห้งกร้าน
วิธีใช้
- เทหรือหยดเซรั่มลงบนฝ่ามือในปริมาณที่พอเหมาะ
- ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางนวดเซรั่มบนฝ่ามือเบา ๆ เพื่อทำการอุ่นเซรั่ม
- ทาเซรั่มให้ทั่วทั้งใบหน้า พร้อมนวดเบา ๆ จนเซรั่มซึมเข้าสู่ผิวจนหมด
ขั้นตอนที่ 6 ทาครีมบำรุงรอบดวงตา
ครีมบำรุงรอบดวงตา มีเนื้อบางเบา เนื่องจากสารที่อยู่ในครีมบำรุงรอบดวงตาต้องมีความอ่อนโยนสูง เพราะผิวรอบดวงตามีความบอบบางและระคายเคืองได้ง่าย หากทาครีมบำรุงรอบดวงตาทีหลัง ครีมบำรุงรอบดวงตาจะไม่สามารถซึมผ่านครีมบำรุงผิว มอยส์เจอไรเซอร์ หรือครีมกันแดดได้
ขั้นตอนที่ 7 ทาครีมบำรุงผิว
ครีมบำรุงผิว เป็นแหล่งรวมสารบำรุงที่ดีต่อผิว มีเนื้อที่ค่อนข้างหนาแน่น ทำให้อาจต้องใช้เวลาในการซึมซาบสู่ผิวนานกว่าเซรั่มและครีมบำรุงรอบดวงตา การทาครีมบำรุงควรทาย้อนทิศทางการเกิดขน (ทาย้อนขึ้น) เพื่อให้ครีมบำรุงซึมเข้าสู่ผิวได้ดีมากยิ่งขึ้น
ครีมบำรุงมีหลากหลายสูตรมาก เช่น สูตรบำรุงผิวให้ขาวกระจ่างใส ลดเลือนริ้วรอย เพิ่มความชุ่มชื้น ฟื้นฟูโคงสร้างผิวให้แข็งแรง เป็นต้น
วิธีใช้
- ปาดหรือบีบครีมบำรุงผิวลงบนฝ่ามือพอประมาณ
- ใช้นิ้วกลางจุ่มครีมที่ฝ่ามือ แล้วแต้มไปที่หน้าผาก จมูก คาง แก้มสองข้าง และลำคอ
- ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางนวดครีมที่อยู่บนหน้าให้ทั่วทั้งใบหน้า กรอบหน้า และลำคอ
- นวดไปเรื่อย ๆ ประมาณ 1 นาที จนครีมบำรุงซึมสู่ผิวจนหมด และรออีก 1-2 นาที เพื่อให้ไม่มีครีมบำรุงผิวค้างอยู่บนผิว ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป (ป้องกันการอุดตัน)
ขั้นตอนที่ 8 ครีมแต้มสิว
หากเป็นสิวก็สามารถทาครีมแต้มสิวหลังจากทาครีมบำรุงต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้วได้ เหตุผลที่ต้องทาครีมแต้มสิวหลังทาครีมบำรุงแล้ว นั่นก็คือ ครีมแต้มสิวจะเคลือบอยู่บนเม็ดสิวหรือหัวสิวที่เราทำการแต้มลงไป จากนั้นสารหรือตัวยาในครีมแต้มสิวจะค่อย ๆ กระจายตัวเพื่อทำการรักษาสิว อาการอักเสบ และฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในสิว จนสิวหาย ถ้าเราแต้มสิวก่อนทาครีมบำรุงจะทำให้ครีมบำรุงไม่สามารถซึมผ่านสู่เซลล์ผิวได้ เนื่องจากโดนครีมแต้มสิวที่เคลือบอยู่ในบริเวณนั้นกั้น
วิธีใช้
- บีบหรือหยดครีมแต้มสิวลงบนนิ้วชี้
- ใช้นิ้วชี้แตะลงบนหัวสิวหรือเม็ดสิว ให้ครีมแต้มสิวที่อยู่บนนิ้วชี้สัมผัสกับสิว
- ใช้นิ้วกลางเกลี่ยครีมแต้มสิวเล็กน้อย ให้เกลี่ยเป็นวงแคบ อย่าเกลี่ยเป็นวงกว้าง เพราะจะทำให้สิวหายช้าและอาจมีผลต่อผิวหนังบริเวณอื่น
- หากเป็นครีมแต้มสิวที่มีส่วนผสมของสารที่ไวต่อแสง อาจต้องใช้ในเวลากลางคืนหรือก่อนนอนเท่านั้น เพราะหากโดนแสงอาจทำให้เกิดจุดไหม้หรือจุดดำบนใบหน้าได้

ขั้นตอนที่ 9 มอยส์เจอไรเซอร์
มอยส์เจอไรเซอร์ เป็นสารที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว และกักเก็บความชุ่มชื้นทั้งจากบนใบหน้าเองและในครีมบำรุงที่ใช้ทาบนใบหน้าด้วย หากไม่ใช้มอยส์เจอไรเซอร์อาจทำให้ผิวหน้าสูญเสียความชุ่มชื้นและเกิดความมันส่วนเกิน เนื่องจากแสงแดด ลม และฝุ่นควันที่อยู่นอกบ้านจะทำให้ความชุ่มชื้นที่อยู่บนใบหน้าและครีมบำรุงหายไป ต่อมไขมันจะเร่งผลิตน้ำมันออกมาที่ผิวมากขึ้น จึงเกิดความมันส่วนเกินบนใบหน้าขึ้นมาทดแทนความชุ่มชื้น
สาเหตุที่ต้องทามอยส์เจอไรเซอร์หลังจากที่ทาครีมบำรุงอื่น ๆ แล้ว นั่นก็เพราะว่า การทำงานของมอยส์เจอไรเซอร์จะเคลือบอยู่บนผิวหน้า ไม่ซึมลงสู่ผิว เพราะหน้าที่ของมอยส์เจอไรเซอร์คือ การกักเก็บความชุ่มชื้น
ดังนั้น มอยส์เจอไรเซอร์จะเคลือบความชุ่มชื้นและสารบำรุงต่าง ๆ เอาไว้บนใบหน้า ป้องกันไม่ได้แสงแดดหรือลมพัดพาความชุ่มชื้นออกไปจากผิว
ขั้นตอนที่ 10 ครีมกันแดด
ครีมกันแดด เป็นอีกไอเทมที่สำคัญมาก ซึ่งครีมกันแดดจะทำการเคลือบอยู่บนผิวเพื่อป้องกันไม่ให้รังสี UVA และ UVB ซึมผ่านมาทำร้ายผิวได้ อาจใช้หลักการสะท้อนหรือดูดซับรังสีก็ได้แล้วแต่ชนิดของสารกันแดดและส่วนผสม การเลือกใช้ครีมกันแดดก็ต้องดูสถานที่ที่เราทำกิจกรรมในแต่ละวัน ว่าต้องเจอแสงแดดมากขนาดไหน แดดแรงมากหรือไม่ หรือถ้ามีเหงื่อและต้องสัมผัสน้ำ เราอาจต้องเลือกใช้ครีมกันแดดที่กันน้ำและเหงื่อได้ ซึ่งเรามีวิธีเลือกครีมกันแดดตาม SPF และ PA ดังนี้
SPF หรือ ค่าการป้องกันรังสี UVB
SPF 15 – แดดอ่อน ๆ ไม่แรงมาก หรือทำงานในออฟฟิศที่ต้องเจอแสงจากหลอดไฟ
SPF 30 – แดดกลาง ๆ หรือ บางครั้งอาจจะต้องเดินออกไปกลางแจ้งบ้าง แต่ก็เจอแดดกลางแจ้งไม่นาน ไม่เกิน ครึ่งชั่วโมง
SPF 50 – แดดค่อนข้างแรง ถึง แรง และอาจจะต้องอยู่กลางแจ้งนานมากกว่าครึ่งชั่วโมงขึ้นไป เช่น ไปเที่ยวทะเล เดินทางไกล หรือทำงานที่ต้องออกหน้าไซต์งานกลางแจ้ง เป็นต้น
PA หรือ ค่าการป้องกันรังสี UVA
PA+ คือ มีประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากรังสี UVA เริ่มต้น – เจอแดดน้อย อยู่ในบ้านหรือออฟฟิศ
PA++ คือ มีประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากรังสี UVA กลาง – เจอแดดบ้าง แต่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมง
PA+++ คือ มีประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากรังสี UVA มาก – เจอแดดแรง มากกว่าครึ่งชั่วโมง
PA++++ คือ มีประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากรังสี UVA มากที่สุด – เจอแดดแรงจัด มากกว่า 1 ชั่วโมง